วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

การเจาะเก็บเลือดแบบพิเศษ (Special blood collection)

การเจาะเก็บเลือดแบบพิเศษ  ได้แก่
1. Autologous  donation
2. Apheresis
3. Therapeutic phlebotomy

Autologous  donation

     เป็นการบริจาคโลหิตของตนเองและนำกลับมาใช้สำหรับตัวเองเมื่อต้องการ
     (autologous donor) มี 4 ชนิด

     1. Preoperative collection  เป็นการเจาะเก็บเลือดก่อนการผ่าตัด  ผู้ป่วยที่เหมาะสมในการเจาะเลือดของตนเองเมื่อต้องการ คือ 

  • ได้รับกำหนดวันผ่าตัดที่แน่นอน
  • เป็นการผ่าตัดที่ไม่รีบด่วน  เช่น  ศัลยกรรมตกแต่ง  ผ่าตัดกระดูก
  • ผู้ป่วยมีหมู่เลือดหายาก
  • ผู้ป่วยมรการทำลายเม็ดเลือดของผู้อื่น       
ผู่ป่วยต้องมีคุณสมบัติดังนี้

1.     อายุระหว่าง  17 - 60 ปี
2.     น้ำหนักไม่ต่ำกว่า  45  กิโลกรัม
3.     มีระดับ hemoglobin  >  11 g/dL  หรือ  hematocrit  > 33%  
4.     ต้องไม่เป็นโรคที่การเจาะเลือดออกแล้วทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน  เช่น  โรคหัวใจ

      2. Intraoperative  hemodilution  เป็นการเจาะเก็บเลือดทันทีก่อนเริ่มการผ่าตัดจำนวน 1 หน่่วยหรือมากกว่า จากนั้นจะให้  crytalloid หรือ colloid  solution แก่ผู้ป่วยเพื่อรักษาระดับของเหลวในร่างกาย  เลือดที่เจาะเก็บจะให้กลับเข้าไปในผู้ป่วยในระหว่างหรือตอนสุดท้ายของการผ่าต้ด

     3. Intraoperative collection  เป็นการเก็บเลือดในระหว่างการผ่าตัด วิธีนี้ต้องใช้เครื่องมือสำหรับดูดเลือดที่ออกในการผ่าตัดช่องอกหรือช่องท้อง ภายในตัวเครื่องมือ เลือดจะถูกผสมกับน้ำยากันเลือดแข็งตตัว  ปั่นเลือดด้วย 0.9 % NaCl  กรองเลือดแล้วจึงให้เม็ดเลือดแดงกลับคืนสู่ผู้ป่วย

     4. Postoperative collection  เป็นการเก็บเลือดที่ออกจากแผลหลังการผ่าตัดให้กลับคืนสู่ผู้ป่วย  วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมใช้  เพราะจะได้ปริมาณไม่มากและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ


Apheresis
     Apheresis หมายถึง การเอาเลือดครบส่วน (whole blood)  ออกจากตัวผู้บริจาคโลหิตหรือผู้ป่วย  จากนั้นจะทำการปั่นแยกเลือดเป็นส่วนประกอบชนิดต่างๆ  โดยเครื่อง blood cell separator ส่วนประกอบของเลือดที่ไม่ต้องการรับบริจาคจะคืนกลับเข้าไปในตัวผู้บริจาคในขณะนั้นเลย  ส่วนประกอบของเลือดที่ต้องการรับบริจาคจะถูกนำออกจากตัวผู้บริจาคโดยเก็บในภาชนะบรรจุเลือด ใช้เวลาในการทำประมาณ 15 นาที - 2 ชั่วโมง
       การบริจาคโลหิตเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของเลือด มีดังนี้

              1.  Plasmapheresis  คือ การบริจาคเฉพาะส่วนที่เป็นพลาสมา ปริมาณบริจาคแต่ละครั้งประมาณ 500 มิลลิลิต  (ไม่ควรเกิน  600 มิลลิลิตร) เพื่อนำพลาสมาไปให้แก่ผู้ป่วยหรือใช้พลาสมาในโครงการผลิตเซรุ่มบางชนิด  เช่น  โครงการผลิตเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าของสภากาชาดไทย  เป็นต้น

2. Platelatpheresis  คือ การบริจาคเฉพาะส่วนที่เป็นเกล็ดเลือด  ผู้บริจาคควรมรจำนวนเกล็ดเลือดอย่างน้อย 150 109 /L  และต้องไม่รับประทานยาแก้ปวดแอสไพลินในระยะ  5 วัน  ก่อนมาบริจาค และควรเป็นผู้ที่บริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอ

                    การบริจาคเกล็ดเลือดนั้นโดยทั่วไป บริจาคได้เดือนละครั้ง (ไม่เกิน 12 ครั้ง/ ปี)  แต่ในกรณีที่จำเป็นสามารถบริจาคได้ทุก 3 วัน  เพราะเกล็ดเลือดจะใช้เวลาสร้างขึ้นมาใหม่ภายใน 3 วันเท่านั้น นอกจากนี้ผู้ที่บริจาคเกล็ดเลือดไปแล้ว 1 เดือน สามารถกลับไปบริจาคโลหิตได้ตามปกติ

         3. Leukapheresis  เป็นการบริจาคเฉพาะส่วนเม็ดเลือดขาว  ผู้บริจาคต้องมี  absolute granulocyte  count  4 104 /L  ในปัจจุบันยาปฎิชีวนะมีประสิทธิภาพสูง  จึงไม่แนะนำการทำ Leukapheresis ซึ่งผู้บริจาคอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้


Therapeutic phlebotomy
      เป็นการเจาะเลือดออกจากร่างกายผู้ป่วยเพื่อเป็นการบรรเทาอาการของผู้ป่วย  ช่วยลดความรุนแรงของโรค  เช่น  ผ้ป่วยโรค  polycythemia, hemochromaatosis  และ porphyrias เลือดที่เจาะได้จะทำลายทิ้งไป ในบางกรณีอาจใช้เครื่อง  blood cell separator เพื่อแยกเอาส่วนประกอบของเลือดที่ไม่ต้องการออกไป เช่น การทำ thereutic plasmapheresis  ในผู้ป่วยที่มีการสร้าง autoantibody เป็นต้น





แหล่งที่มา : หนังสือ Blood bank   ผู้แต่ง : ดร.อังสนา โยธินารักษ์