การเจาะเก็บเลือดแบบพิเศษ ได้แก่
1. Autologous donation
2. Apheresis
3. Therapeutic phlebotomy
Autologous donation
เป็นการบริจาคโลหิตของตนเองและนำกลับมาใช้สำหรับตัวเองเมื่อต้องการ
(autologous donor) มี 4 ชนิด
1. Preoperative collection เป็นการเจาะเก็บเลือดก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยที่เหมาะสมในการเจาะเลือดของตนเองเมื่อต้องการ คือ
- ได้รับกำหนดวันผ่าตัดที่แน่นอน
- เป็นการผ่าตัดที่ไม่รีบด่วน เช่น ศัลยกรรมตกแต่ง ผ่าตัดกระดูก
- ผู้ป่วยมีหมู่เลือดหายาก
- ผู้ป่วยมรการทำลายเม็ดเลือดของผู้อื่น
ผู่ป่วยต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. อายุระหว่าง 17 - 60 ปี
2. น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 45 กิโลกรัม
3. มีระดับ hemoglobin > 11 g/dL หรือ hematocrit > 33%
4. ต้องไม่เป็นโรคที่การเจาะเลือดออกแล้วทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ
2. Intraoperative hemodilution เป็นการเจาะเก็บเลือดทันทีก่อนเริ่มการผ่าตัดจำนวน 1 หน่่วยหรือมากกว่า จากนั้นจะให้ crytalloid หรือ colloid solution แก่ผู้ป่วยเพื่อรักษาระดับของเหลวในร่างกาย เลือดที่เจาะเก็บจะให้กลับเข้าไปในผู้ป่วยในระหว่างหรือตอนสุดท้ายของการผ่าต้ด
3. Intraoperative collection เป็นการเก็บเลือดในระหว่างการผ่าตัด วิธีนี้ต้องใช้เครื่องมือสำหรับดูดเลือดที่ออกในการผ่าตัดช่องอกหรือช่องท้อง ภายในตัวเครื่องมือ เลือดจะถูกผสมกับน้ำยากันเลือดแข็งตตัว ปั่นเลือดด้วย 0.9 % NaCl กรองเลือดแล้วจึงให้เม็ดเลือดแดงกลับคืนสู่ผู้ป่วย
4. Postoperative collection เป็นการเก็บเลือดที่ออกจากแผลหลังการผ่าตัดให้กลับคืนสู่ผู้ป่วย วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมใช้ เพราะจะได้ปริมาณไม่มากและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
Apheresis
Apheresis หมายถึง การเอาเลือดครบส่วน (whole blood) ออกจากตัวผู้บริจาคโลหิตหรือผู้ป่วย จากนั้นจะทำการปั่นแยกเลือดเป็นส่วนประกอบชนิดต่างๆ โดยเครื่อง blood cell separator ส่วนประกอบของเลือดที่ไม่ต้องการรับบริจาคจะคืนกลับเข้าไปในตัวผู้บริจาคในขณะนั้นเลย ส่วนประกอบของเลือดที่ต้องการรับบริจาคจะถูกนำออกจากตัวผู้บริจาคโดยเก็บในภาชนะบรรจุเลือด ใช้เวลาในการทำประมาณ 15 นาที - 2 ชั่วโมง
การบริจาคโลหิตเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของเลือด มีดังนี้
1. Plasmapheresis คือ การบริจาคเฉพาะส่วนที่เป็นพลาสมา ปริมาณบริจาคแต่ละครั้งประมาณ 500 มิลลิลิต (ไม่ควรเกิน 600 มิลลิลิตร) เพื่อนำพลาสมาไปให้แก่ผู้ป่วยหรือใช้พลาสมาในโครงการผลิตเซรุ่มบางชนิด เช่น โครงการผลิตเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าของสภากาชาดไทย เป็นต้น
2. Platelatpheresis คือ การบริจาคเฉพาะส่วนที่เป็นเกล็ดเลือด ผู้บริจาคควรมรจำนวนเกล็ดเลือดอย่างน้อย 150 X 109 /L และต้องไม่รับประทานยาแก้ปวดแอสไพลินในระยะ 5 วัน ก่อนมาบริจาค และควรเป็นผู้ที่บริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอ
การบริจาคเกล็ดเลือดนั้นโดยทั่วไป บริจาคได้เดือนละครั้ง (ไม่เกิน 12 ครั้ง/ ปี) แต่ในกรณีที่จำเป็นสามารถบริจาคได้ทุก 3 วัน เพราะเกล็ดเลือดจะใช้เวลาสร้างขึ้นมาใหม่ภายใน 3 วันเท่านั้น นอกจากนี้ผู้ที่บริจาคเกล็ดเลือดไปแล้ว 1 เดือน สามารถกลับไปบริจาคโลหิตได้ตามปกติ
3. Leukapheresis เป็นการบริจาคเฉพาะส่วนเม็ดเลือดขาว ผู้บริจาคต้องมี absolute granulocyte count 4 x 104 /L ในปัจจุบันยาปฎิชีวนะมีประสิทธิภาพสูง จึงไม่แนะนำการทำ Leukapheresis ซึ่งผู้บริจาคอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
Therapeutic phlebotomy
เป็นการเจาะเลือดออกจากร่างกายผู้ป่วยเพื่อเป็นการบรรเทาอาการของผู้ป่วย ช่วยลดความรุนแรงของโรค เช่น ผ้ป่วยโรค polycythemia, hemochromaatosis และ porphyrias เลือดที่เจาะได้จะทำลายทิ้งไป ในบางกรณีอาจใช้เครื่อง blood cell separator เพื่อแยกเอาส่วนประกอบของเลือดที่ไม่ต้องการออกไป เช่น การทำ thereutic plasmapheresis ในผู้ป่วยที่มีการสร้าง autoantibody เป็นต้น
แหล่งที่มา : หนังสือ Blood bank ผู้แต่ง : ดร.อังสนา โยธินารักษ์