บันทึกฉบับที่ 1 (9/5/55)
ตั้งแต่ปีหนึ่่งฉันถามตัวเองเสมอว่าสิ่งที่เรากำลังเรียนอยู่มันใช่ตัวตนของฉันจิงๆหรอ แล้วสิ่งที่ตัวเองต้องการจิงๆมันคืออะไร ทุกคนมักจะถามฉันว่าทำไมถึงเรียนเทคนิคการแพทย์ ฉันก็ตอบได้แค่ว่า "พ่อบอกให้เรียนก็เลยต้องเรียน" นั่นคือสิ่งที่ฉันตอบ
ตอนนี้ฉันสามารถพูดได้เต็มปากว่า สิ่งที่ฉันกำลังเรียนอยู่มันไม่ใช่ตัวตนของฉัน แต่ฉันก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว เพราะสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ใช่ว่าเราทำแล้วเราชอบหรือไม่ชอบ แต่วันนี้สิ่งที่เราทำอยู่มันทำเพื่ออะไรและเพื่อใครมากกว่า
My life
ชีวิตของเราบางครั้งก็ออกแบบได้ บางครั้งก็ออกแบบไม่ได้

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555
การเจาะเก็บเลือดแบบพิเศษ (Special blood collection)
การเจาะเก็บเลือดแบบพิเศษ ได้แก่
1. Autologous donation
2. Apheresis
3. Therapeutic phlebotomy
Autologous donation
เป็นการบริจาคโลหิตของตนเองและนำกลับมาใช้สำหรับตัวเองเมื่อต้องการ
(autologous donor) มี 4 ชนิด
1. Preoperative collection เป็นการเจาะเก็บเลือดก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยที่เหมาะสมในการเจาะเลือดของตนเองเมื่อต้องการ คือ
- ได้รับกำหนดวันผ่าตัดที่แน่นอน
- เป็นการผ่าตัดที่ไม่รีบด่วน เช่น ศัลยกรรมตกแต่ง ผ่าตัดกระดูก
- ผู้ป่วยมีหมู่เลือดหายาก
- ผู้ป่วยมรการทำลายเม็ดเลือดของผู้อื่น
ผู่ป่วยต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. อายุระหว่าง 17 - 60 ปี
2. น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 45 กิโลกรัม
3. มีระดับ hemoglobin > 11 g/dL หรือ hematocrit > 33%
4. ต้องไม่เป็นโรคที่การเจาะเลือดออกแล้วทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ
2. Intraoperative hemodilution เป็นการเจาะเก็บเลือดทันทีก่อนเริ่มการผ่าตัดจำนวน 1 หน่่วยหรือมากกว่า จากนั้นจะให้ crytalloid หรือ colloid solution แก่ผู้ป่วยเพื่อรักษาระดับของเหลวในร่างกาย เลือดที่เจาะเก็บจะให้กลับเข้าไปในผู้ป่วยในระหว่างหรือตอนสุดท้ายของการผ่าต้ด
3. Intraoperative collection เป็นการเก็บเลือดในระหว่างการผ่าตัด วิธีนี้ต้องใช้เครื่องมือสำหรับดูดเลือดที่ออกในการผ่าตัดช่องอกหรือช่องท้อง ภายในตัวเครื่องมือ เลือดจะถูกผสมกับน้ำยากันเลือดแข็งตตัว ปั่นเลือดด้วย 0.9 % NaCl กรองเลือดแล้วจึงให้เม็ดเลือดแดงกลับคืนสู่ผู้ป่วย
4. Postoperative collection เป็นการเก็บเลือดที่ออกจากแผลหลังการผ่าตัดให้กลับคืนสู่ผู้ป่วย วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมใช้ เพราะจะได้ปริมาณไม่มากและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
Apheresis
Apheresis หมายถึง การเอาเลือดครบส่วน (whole blood) ออกจากตัวผู้บริจาคโลหิตหรือผู้ป่วย จากนั้นจะทำการปั่นแยกเลือดเป็นส่วนประกอบชนิดต่างๆ โดยเครื่อง blood cell separator ส่วนประกอบของเลือดที่ไม่ต้องการรับบริจาคจะคืนกลับเข้าไปในตัวผู้บริจาคในขณะนั้นเลย ส่วนประกอบของเลือดที่ต้องการรับบริจาคจะถูกนำออกจากตัวผู้บริจาคโดยเก็บในภาชนะบรรจุเลือด ใช้เวลาในการทำประมาณ 15 นาที - 2 ชั่วโมง
การบริจาคโลหิตเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของเลือด มีดังนี้
1. Plasmapheresis คือ การบริจาคเฉพาะส่วนที่เป็นพลาสมา ปริมาณบริจาคแต่ละครั้งประมาณ 500 มิลลิลิต (ไม่ควรเกิน 600 มิลลิลิตร) เพื่อนำพลาสมาไปให้แก่ผู้ป่วยหรือใช้พลาสมาในโครงการผลิตเซรุ่มบางชนิด เช่น โครงการผลิตเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าของสภากาชาดไทย เป็นต้น
2. Platelatpheresis คือ การบริจาคเฉพาะส่วนที่เป็นเกล็ดเลือด ผู้บริจาคควรมรจำนวนเกล็ดเลือดอย่างน้อย 150 X 109 /L และต้องไม่รับประทานยาแก้ปวดแอสไพลินในระยะ 5 วัน ก่อนมาบริจาค และควรเป็นผู้ที่บริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอ
การบริจาคเกล็ดเลือดนั้นโดยทั่วไป บริจาคได้เดือนละครั้ง (ไม่เกิน 12 ครั้ง/ ปี) แต่ในกรณีที่จำเป็นสามารถบริจาคได้ทุก 3 วัน เพราะเกล็ดเลือดจะใช้เวลาสร้างขึ้นมาใหม่ภายใน 3 วันเท่านั้น นอกจากนี้ผู้ที่บริจาคเกล็ดเลือดไปแล้ว 1 เดือน สามารถกลับไปบริจาคโลหิตได้ตามปกติ
3. Leukapheresis เป็นการบริจาคเฉพาะส่วนเม็ดเลือดขาว ผู้บริจาคต้องมี absolute granulocyte count 4 x 104 /L ในปัจจุบันยาปฎิชีวนะมีประสิทธิภาพสูง จึงไม่แนะนำการทำ Leukapheresis ซึ่งผู้บริจาคอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
Therapeutic phlebotomy
เป็นการเจาะเลือดออกจากร่างกายผู้ป่วยเพื่อเป็นการบรรเทาอาการของผู้ป่วย ช่วยลดความรุนแรงของโรค เช่น ผ้ป่วยโรค polycythemia, hemochromaatosis และ porphyrias เลือดที่เจาะได้จะทำลายทิ้งไป ในบางกรณีอาจใช้เครื่อง blood cell separator เพื่อแยกเอาส่วนประกอบของเลือดที่ไม่ต้องการออกไป เช่น การทำ thereutic plasmapheresis ในผู้ป่วยที่มีการสร้าง autoantibody เป็นต้น
แหล่งที่มา : หนังสือ Blood bank ผู้แต่ง : ดร.อังสนา โยธินารักษ์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)